ความแตกต่างระหว่างการสร้าง “แรงผลักดัน” VS “แรงกดดัน” ให้กับพนักงาน


แรงผลักดันและแรงกดดันเป็นความหมายใกล้เคียงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางประการ
การสร้างแรงผลักดัน (motivation) ที่ดีให้กับพนักงานนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1.เป้าหมาย-แรงผลักดันที่ดีควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความสามารถของพนักงาน เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้พนักงานเข้าใจว่าสิ่งที่คาดหวังจากพวกเขาคืออะไร และความพยายามใดบ้างที่ควรมุ่งเน้น เป้าหมายที่สอดคล้องกับความสามารถของพนักงานจะช่วยให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้จริง โดยไม่เกิดความเครียดหรือกดดันมากเกินไป

2.ความท้าทาย-แรงผลักดันที่ดีควรมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่ต้องไม่ท้าทายจนเกินไปจะทำให้กลายเป็นแรงกดดันอาจก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลให้กับพนักงานได้ ในขณะที่แรงผลักดันที่น้อยเกินไปอาจทำให้พนักงานรู้สึกเบื่อหน่ายและขาดความกระตือรือร้น

3.ความเป็นไปได้-แรงผลักดันที่ดีควรมีความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมาย หากตั้งเป้าหมายเกินความเป็นไปได้หรือสร้างความคาดหวังสูงทำให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ

4.ความเชื่อมโยง-แรงผลักดันที่ดีควรเชื่อมโยงกับคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตของพนักงาน พนักงานจะรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น หากพวกเขาเชื่อว่างานที่ทำนั้นมีความสำคัญและสอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา

5.ความสม่ำเสมอ-แรงผลักดันที่ดีควรมีความสม่ำเสมอ พนักงานควรรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานอย่างต่อเนื่อง องค์กรควรหาวิธีสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ

ตัวอย่างการสร้างแรงผลักดันที่ดี เช่น

  • การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้
  • การมอบหมายงานที่มีความท้าทายและสร้างสรรค์
  • การให้โอกาสพนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกระบวนการทำงานต่างๆ
  • การให้รางวัลและการสนับสนุนพนักงาน
  • การสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ความสร้างสรรค์ และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ให้โอกาสพนักงานในการพัฒนาทักษะและเติบโตในอาชีพการงาน

แรงผลักดันมักส่งผลในทางบวก ช่วยให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทำงานอย่างกระตือรือร้น องค์กรควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ในการวางแผนการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

การสร้างแรงกดดัน (pressure) ให้กับพนักงานมีหลายวิธี ไม่ใช่เป็นเชิงลบไปทั้งหมดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ โดยทั่วไปแล้วแรงกดดันสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

1.แรงกดดันเชิงบวก เป็นแรงกดดันที่กระตุ้นให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงาน มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และเกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง แรงกดดันเชิงบวกมักเกิดจากการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย การให้รางวัลและการสนับสนุนจากหัวหน้างาน และการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น จะเรียกว่าเป็นแรงผลักดันให้กับพนักงานก็ถือว่าไม่ผิด

2.แรงกดดันเชิงลบ เป็นแรงกดดันที่อาจก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และความรู้สึกเชิงลบอื่นๆ ให้กับพนักงาน แรงกดดันเชิงลบมักเกิดจากการตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไป การเปรียบเทียบพนักงานกับผู้อื่น การใช้คำพูดเชิงลบ หรือการสร้างบรรยากาศการทำงานที่กดดัน

การสร้างแรงกดดันให้กับพนักงานอย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • วัตถุประสงค์ที่ต้องการ การสร้างแรงกดดันให้กับพนักงานควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ต้องการให้พนักงานทำงานอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น ต้องการให้พนักงานพัฒนาทักษะใหม่ๆ หรือต้องการให้พนักงานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • ความสามารถของพนักงาน แรงกดดันที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลให้กับพนักงานได้ ดังนั้นแรงกดดันที่สร้างขึ้นควรสอดคล้องกับความสามารถของพนักงาน
  • วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและงานที่ทำ จะช่วยให้พนักงานรับมือกับแรงกดดันได้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างการสร้างแรงกดดันให้กับพนักงานเชิงลบ ที่ทำให้พนักงานรู้สึกแย่ เช่น

  • การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไป
  • การเปรียบเทียบพนักงานกับผู้อื่น
  • การใช้คำพูดเชิงลบ
  • การสร้างบรรยากาศการทำงานที่กดดัน

สิ่งสำคัญคือการสร้างแรงกดดันให้กับพนักงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้แรงกดดันนั้นกลายเป็นแรงผลักดัน เป็นแรงจูงใจให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

#motivation #pressure #สร้างแรงผลักดัน #เป้าหมายองค์กร #เป้าหมาย